บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องย่อ สังข์ทอง

สังข์ทอง
     เรื่องย่อทั้งหมด
                   กาลปางก่อน มีพระเจ้าพรหมทัต(ท้าวยศวิมล) ครองเมืองพรหมนคร(เมืองยศวิมล)
         พระเจ้าพรหมทัตมีมเหสีสององค์  มเหสีฝ่ายขวา ชื่อพระนางจันทราเทวี      (นางจันเทวี)
         มเหสีฝ่ายซ้าย  ชื่อพระนางสุวรรณจัมปากะ   (นางจันทา)    พระเจ้าพรหมทัตโปรดมเหสี
         ฝ่ายซ้ายมาก ต่อมามเหสีทั้งสองทรงครรภ์ โหรทำนายว่าบุตร  ของมเหสีฝ่ายขวาเป็นชาย
         ส่วนมเหสีฝ่ายซ้ายเป็นหญิง   พระนางสุวรรณจัมปากะ  รู้สึกเสียใจที่จะได้ธิดาแทนจะเป็น
         โอรส และเกรงว่าพระนางจันทราเทวีจะได้ดีกว่า จึงใส่ร้ายพระนางจันทราเทวีจนพระเจ้า
         พรหมทัตหลงเชื่อขับไล่พระนางจันทราเทเวีออกจากพระราชวัง  พระนางจันทราเทวีเดิน
         ทางด้วยความยากลำบาก   เมื่อถึงชายป่านอกเมือง  ยายตาสองคนสงสาร จึงชวนให้พักอยู่
         ด้วยโอรสในครรภ์ของพระนางจันทราเทวีเห็นความยากลำบากของพระมารดา   จึงแปลง
         กายเป็นหอยสังข์เพื่อไม่ให้พระมารดาต้องลำบากเลี้ยงดู เมื่อครบกำหนดคลอด    พระนาง
         จันทราเทวีก็คลอดโอรสออกมาเป็นหอยสังข์ ซึ่งพระนางก็รักใคร่ เลี้ยงดูเหมือนลูกมนุษย์
                   วันหนึ่งพระนางจันทราเทวี  ออกจากบ้านไปช่วยตายายเก็บผักหักฟืน     ลูกน้อยใน
         หอยสังข์ก็ออกจากรูปหอยสังข์ช่วยปัดกวาดบ้านเรือน และหุงหาอาหารไว้  พอเสร็จก็กลับ
         เข้าไปในรูปหอยสังข์ตามเดิม    พระนางจันทราเทวี  เมื่อกลับมาก็แปลกใจ  ว่าใครมาช่วย
         ทำงานและเมื่อนางจันทราเทวีออกจากบ้านไป   ลูกน้อยในหอยสังข์ก็จะออกมาทำงานบ้าน
         ให้เรียบร้อยทุกครั้ง พระนางจันทราเทวีอยากรู้ว่าเป็นใคร  วันหนึ่งจึงทำทีออกจากบ้านไป
         ป่าเช่นเคย แต่แล้วก็ย้อยกลับมาที่บ้าน   โอรสในหอยสังข์ก็ออกมาทำงานบ้าน      พระนาง
         จันทราเทวีเห็นโอรสเป็นมนุษย์ก็ดีใจ   จึงทุบหอยสังข์เสีย    และกอดโอรสด้วยความยินดี
          และตั้งชื่อให้ว่า " สังข์ทอง "
                   เมื่อพระเจ้าพรหมทัต รู้ข่าวว่าพระนางจันทราเทวี ประสูติพระโอรส  ก็ยินดีจะรับ
         พระนางจันทราเทวีกลับ  พระนางสุวรรณจัมปากะเทวี  ริษยาจึงได้เท็จทูล  ว่าพระโอรส
         เดิมเป็นหอยสังข์   พระเจ้าพรหมทัตก็หลงเชื่อเกรงจะเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง       จึงให้
         อำมาตย์จับพระนางจันทราเทวีและลูกน้อยสังข์ทองใส่แพลอยไป     เมื่อแพลอนออกทะเล
         เกิดพายุใหญ่แพแตก พระนางจันทราเทวีถูกคลื่นซัดลอยไปติดที่ชายหาดเมืองมัทราษฎร์
         พระนางก็เดินทางซัดเซพเนจรไปอาศัยบ้านเศรษฐีเมืองมัทราษฎร์ชื่อ  ธนัญชัยเศรษฐีและ
         ทำหน้าที่เป็นแม่ครัว

                   ฝ่ายพระสังข์ทอง   นั้นจมน้ำลงไปยังนาคพิภพ  พระยานาคมีจิตสงสารจึงเนรมิต
         เรือทอง แล้วอุ้มพระสังข์ทองใส่ไว้ในเรือ เรือทองลอยไปถึงเมืองยักษ์ซึ่งนางยักษพันธุรัต 
         ปกครองอยู่  นางยักษ์เห็นพระสังข์ทองในเรือทอง   เกิดความรักใคร่เอ็นดู       จึงนำพระ
         สังข์ทองมาเลี้ยงดูในปราสาท   และให้พี่เลี้ยงนางนม  แปลงร่างเป็นคน      เพื่อมิให้พระ
         สังข์ทองหวาดกลัว พระสังข์ทองก็เติบโตอยู่กับนางยักษ์พันธุรัต
                  นางยักษ์พันธุรัตปกติจะต้องออกไปหาสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร  เมื่อนางออกไปป่าก็จะ
         ไปครั้งละสามวันหรือเจ็ดวัน  ทุกครั้งที่ไป   ก็จะสั่งพระสังข์ทองว่าอย่าขึ้นไปเล่นบนปรา
         สาทชั้นบน  และ ในสวน   พระสังข์ทองก็เชื่อฟัง    แต่เมื่อโตขึ้นก็เกิดความสงสัยอยากรู้
         วันหนึ่งเมื่อนางยักษ์พันธุรัตไปป่า   พระสังข์ทอง  ก็แอบไปในสวนส่วนที่ห้ามไว้      เห็น
         กระดูกสัตว์และคน   เป็นจำนวนมาก    ที่นางยักษ์กินเนื้อแล้วทิ้งกระดูกไว้เป็นจำนวนมาก
         พระสังข์ทองเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ นึกรู้ว่ามารดาเลี้ยงเป็นยักษ์ก็รู้สึกหวาดกลัว  และเมื่อเดิน
         ต่อไปเห็นบ่อเงินบ่อทองสวยงาม  พอพระสังทองเอานิ้วก้อยจุ่มลงไปนิ้วก็กลายเป็นสีทอง
         พระสังข์ทอง  จึงลงไปอาบทั้งตัวร่างกาย  ก็กลายเป็นสีทองงดงาม     แล้วพระสังข์ทอง
         ก็ขึ้นไปบนปราสาทชั้นบน  เห็นเกราะรูปเงาะป่า  เกือกทอง และพระขรรค์ พระสังข์ทอง
         เอาเกราะเงาะป่ามาสวม ก็กลายร่างเป็นเงาะป่า  พอใส่เกือกทองก็รู้สึกว่าลอยได้        พระ
         สังข์ทองจึงหยิบพระขรรค์  แล้วเหาะหนีออกจากเมืองยักษ์      และข้ามแม่น้ำไปยังเมือง
         ตักศิลาตกเย็นจึงพักอยู่ที่ศาลาริมน้ำ
                   ฝ่ายนางยักษ์กลับมาไม่เห็นลูก   และขึ้นไปที่ปราสาทชั้นบน   เห็นเกราะรูปเงาะป่า
         เกือกทองและพระขรรค์หายไป   ก็รู้ทันทีว่าพระสังข์ทองรู้ว่าตนเป็นยักษ์แล้วหลบหนีไป
         นางจึงเหาะตามไป เมื่อถึงฝั่งน้ำเห็นพระสังข์ทองพักอยู่   นางไม่สามารถเหาะข้ามไปได้
         จึงร้องไห้  อ้อนวอนให้พระสังข์ทองกลับไป     พระสังข์ทองยังหวาดกลัวจึงไม่ยอมกลับ
         นางพันธุรัตเสียใจจนหัวใจแตกสลาย แต่ก่อนตายนางก็สอนมนต์หาเนื้อหาปลาให้    พระ
         สังข์ทองแล้วนางก็สิ้นใจตาย  พระสังข์ทองรู้สึกเสียใจมากหลังจากได้จัดเผาศพนางยักษ์
         แล้ว พระสังข์ทองก็เหาะเดินทางไปเมืองพาราณสี   และได้ไปอาศัยชาวบ้านช่วยเลี้ยงโค
         พระสังข์ทองตอนนี้รูปร่างเป็นเงาะป่า พวกเด็กเลี้ยงโคก็มาเล่นสนิทสนม กับพระสังข์ทอง
                   ที่เมืองพาราณสีนี้เจ้าเมืองมีธิดา 7 องค์ เจ้าเมืองคิดจะให้พระธิดาทั้ง  7  องค์ได้
         อภิเษกสมรส จึงมีรับสั่งให้ประกาศแก่เจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ  ให้ส่งโอรสมาให้พระธิดา
         เลือกพระธิดาทั้ง 6 องค์ ก็เลือกได้เจ้าชายที่เหมาะสม  แต่พระธิดาองค์สุดท้อง ชื่อรจนา
         ไม่ยอมเลือกเจ้าชายองค์ใด   เจ้าเมืองพาราณสีทรงกริ้วมากจึงประชดโดยให้อำมาตย์ไป
         ประกาศให้ชายทุกคนในเมือง  ให้เข้ามาในวังให้พระราชธิดาเลือก  พระสังข์ทองในรูป
         เงาะป่าก็ถูกเกณฑ์เข้ามาด้วย  เมื่อนางรจนาออกมาเลือกคู่ บุญบันดาลให้เห็นรูปทองของ
         พระสังข์ทองแทนที่จะเป็นเงาะป่า นางจึงเลือกเงาะป่า  เจ้าเมืองพาราณสีกริ้วมากขับไล่
         นางรจนาออกไปอยู่นอกเมือง
                   เจ้าเมืองพาราณสีมีความแค้นเคืองเงาะป่าคิดจะกำจัด  จึงออกคำสั่งให้เขยทั้งหก
         และเงาะป่าไปหาเนื้อมาคนละตัว  ใครหามาไม่ได้จะถูกประหารชีวิตเงาะป่าเข้าไปในป่า
         ถอดรูปเงาะออกแล้วร่ายมนต์เรียกเนื้อ   เนื้อทั้งหลายก็มาอยู่ที่พระสังข์ทอง    หกเขยหา
         เนื้อทั้งวันก็ไม่ได ้ จนกระทั่งมาพบพระสังข์ทอง   ซึ่งหกเขยคิดว่าเป็นเทวดา หกเขยขอ
         เนื้อจากพระสังข์ทอง      พระสังข์ทองให้โดยขอตัดใบหูคนละหน่อย        หกเขยก็ยอม
         ทั้งหมดก็นำเนื้อไปให้เจ้าเมืองพาราณสี
                   เจ้าเมืองพาราณสียังทำร้ายเงาะป่าไม่ได้ก็แค้นใจ  จึงมีคำสั่งให้เขยทุกคนหาปลา
         ไปถวาย พระสังข์ทองก็ถอดรูปเงาะป่าแล้วร่ายมนต์เรียกปลา       ปลาก็มาออคับคั่งอยู่ที่
         พระสังข์ทอง  หกเขยหาปลามาไม่ได้ทั้งวัน    และเมื่อพบปลามาอออยู่ที่พระสังข์ทองก็
         กราบไหว้อ้ออนวอนขอปลา  พระสังข์ทองยกให้โดยขอตัดปลายจมูกหกเขยคนละหน่อย
         แล้วหกเขยกับเงาะป่านำปลาไปถวายเจ้าเมืองพาราณสี
                   เจ้าเมืองพาราณสีขัดแค้นใจที่ทำอันตรายเงาะป่าไม่ได้  ก็เฝ้าคิดหาวิธีการอื่นที่จะ
         กำจัดเงาะป่า  พระอินทร์บนสวรรค์ทราบถึงการคิดร้ายของเจ้าเมืองพาราณสีต่อเงาะป่า
         จึงลงมาช่วย โดยเหาะลงมาลอยอยู่หน้าพระที่นั่งของเจ้าเมืองพาราณสี และกล่าวท้าทาย
         ว่าให้เจ้าเมืองพาราณสีหาคนดีมีฝีมือเหาะขึ้นมาตีคลีกับพระอินทร์ บนอากาศ ภายในเจ็ด
         วันถ้าหาไม่ได้ก็จะฆ่าเจ้าเมืองพาราณสี
                   เจ้าเมืองพาราณสีตกใจมาก  ให้หกเขยและบรรดาเสนาอำมาตย์ช่วยกันหาผู้อาสา
         เหาะไปตีคลี ทุกคนก็จนปัญญา     เจ้าเมืองพาราณสีจึงให้ป่าวประกาศว่าผู้ใดที่สามารถ
         เหาะไปตีคลี  กับพระอินทร์บนอากาศได้จะยกราชสมบัติให้      แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดมาอาสา
         นางมณฑาเทวีพระมเหสีของเจ้าเมืองพาราณสี  จึงแอบไปหานางรจนา         และขอให้
         นางรจนาอ้อนวอนให้เงาะป่าช่วย   เงาะป่าสงสารทั้งสองนางจึงรับปาก และในวันที่เจ็ด
         เงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทอง ใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์      จนชนะ
         พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์
                   เจ้าเมืองพาราณสีดีพระทัยมากได้ขอโทษพระสังข์ทองและยกราชสมบัติให้ตาม
          สัญญา พระสังข์ทองขอลาไปตามหาพระนางจันทราเทวีก่อนพระสังข์ทองเดินทางไป
         ตามเมืองต่างๆจนกระทั่งมาถึงเมืองมัทราษฎร์จึงไปสืบถามที่บ้านธนัญชัยเศรษฐีว่ารู้จัก
         หญิงที่ชื่อ จันทราเทวีหรือไม่ ธนัญชัยเศรษฐีบอกว่าไม่รู้จัก    แต่ก็เชิญพระสังข์ทองอยู่
         รับประทานอาหาร  พระสังข์ทองสังเกตว่าอาหารมีรสปราณีต ซึ่งผู้ทำจะต้องเป็นผู้ทำ
         อาหารถวายพระเจ้าแผ่นดิน   จึงขอพบแม่ครัวและซักถามประวัติ           ก็ทราบว่าเป็น
         พระนางจันทราเทวีจึงดีใจมาก และขอธนัญชัยเศรษฐีที่จะรับพระมารดากลับไป
                   พระสังข์ทองนำพระมารดากลับไปอยู่ที่เมืองพาราณสี พระสังข์ทอง   ปกครอง
         เมืองพาราณสีจนเจริญรุ่งเรือง กิติศัพท์แพร่ไปยังนครอื่น ๆ       จนถึงเมืองพรหมนคร
         ชาวเมืองพรหมนครก็อพยพมาอยู่เมืองพาราณสี    เสนาอำมาตย์เมืองพรหมนครจึงทูล
         เสนอพระเจ้าพรหมทัตว่า  พระสังข์ทองพระราชโอรสครองเมืองพาราณสี      มีความ
         สามารถทำให้รุ่งเรือง   จึงเห็นสมควรที่จะอัญเชิญพระสังข์ทอง            มาครองเมือง
         พรหมนคร เพื่อสร้างความเจริญ พระเจ้าพรหมทัตเมื่อทรงทราบว่าพระโอรสยังมีชีวิต
         อยู่และมีความสามารถก็ยินดี    และสำนึกผิดให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ไปเมืองพาราณสีและทูล
         เชิญพระสังข์ทอง  และพระนางจันทราเทวีกลับเมืองพรหมนคร  พระสังข์ทองสงสาร
         พระบิดา   จึงอ้อนวอนพระมารดาให้อภัยพระเจ้าพรหมทัต        และเดินทางกลับเมือง
         พรหมนคร  พระเจ้าพรหมทัตก็มอบราชสมบัติให้พระสังข์ทอง ปกครองบ้านเมืองเป็น
         สุขสืบมา

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เก่งจริงนะครับครูบัว ไปอบรมได้ความรู้มาสอนผมและนักเรียนของที่โรงเรียนท่าข้ามบ้างนะครับ
ครูยืน